โรคสำคัญของแมว
กลุ่มโรคติดเชื้อ
คือโรคที่เกิดมาจากเชื้อโรคต่างๆ อันได้แก่เชื้อไวรัส เชื้อรา และพยาธิ ดังตัวอย่างโรคดังนี้

ฝีหนองบนร่างกาย
มักพบในแมวเพศผู้ เนื่องจากชอบออกไปท่องเที่ยวและต่อสู้กับแมวอื่น จนทำให้มีบาดแผลจากเล็บและเขี้ยว ซึ่งภายหลังกลายเป็นฝีมีหนองภายในเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่ปะปนเข้าไป การรักษาทำได้โดยการผ่าฝีดูดหนองชำระล้าง และให้ยาปฏิชีวนะทั้งกินและฉีด ส่วนวิธีป้องกันคือไม่ให้แมวออกไปท่องเที่ยวจนต่อสู้กับแมวอื่น อาจจะให้ทำหมัน และหากพบว่าแมวบาดเจ็บให้รีบทำความสะอาดแผลและใส่ยาก่อนมีการติดเชื้อ

 
  โรคแผลหลุมในริมฝีปาก (Rodent Ulcer)
เป็นโรคที่ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากเชื้อไวรัสหรือระบบภูมิต้านทานของแมวเอง โดยอาการะพบว่า บริเวณริมฝีปากของแมวจะมีแผลหลุม ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่แมวมาก บางครั้งอาจพบแผลเช่นนี้ตามกระพุ้งแก้ม หรือส่วนอื่นของปาก บางทีอาจพบตามง่ามนิ้ว หนังหน้าท้อง หรือด้านหลังของขาหลัง โดยเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นวงแดง ผิวหนังหนาตัวขึ้นจนเป็นตุ่มใสๆแล้วแตกออก ถ้าท่านพบเห็นลักษณะเช่นนี้ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยใช้ยาลดอาการอักเสบฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลหลุม โอกาสหายมีมาก แต่อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีกร้อยละ 10 - 15 จึงต้องรักษาไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายขาด

สิวแมว (Feline Acne)
เป็นอาการอักเสบของผิวหนังบริเวณคางของแมว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณนั้น ซึ่งมีจุดอ่อนคือเป็นแหล่งสะสมต่อมน้ำมันจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีเชื้อแบคทีเรียประกอบกับสิ่งสกปรกร่วมด้วย ทำให้รูขุมขนอุดตันจนอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา เชื้อแบคทีเรียอาจลุกลามลงไปใต้ผิวหนังก่อให้เกิดการอักเสบเป็นบริเวณกว้าง แต่ลักษณะของสิวแมวนั้น ดูภายนอกอาจคล้ายคลึงกับการติดเชื้อราหรือขี้เรื้อน (Demondex Mange) จึงจำเป็นต้องครวจให้แน่ชัดด้วยการขูดเอาผิวหนังส่วนนั้นไปตรวจสอบอย่างละเอียด จึงจะสามารถแยกได้ว่าเป็นโรคใดกันแน่
การรักษาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยสัตวแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะในการกินและทา หากเป็นมากอาจจะต้องมียาฉีดร่วม เจ้าของควรร่วมมือในการช่วยทำความสะอาดในส่วนที่เป็นสิวให้หายเร็วยิ่งขึ้น

ไข้หัดแมว (Feline Distemper หรือ Feline Panleukopenia)
ไข้หัดแมวเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีผลต่อไขกระดูกและเซลล์บุผนังลำไส้ เป็นโรคติดต่อในแมวที่รุนแรง ระบาดได้ง่าย อัตราการตายสูงกว่าร้อยละ 90 โดยแมวป่วยจะแสดงอาการไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ซึม อาเจียน ท้องร่วง บางครั้งถ่ายเป็นเลือด เลิกตบแต่งทำความสะอาดร่างกายด้วยการเลียขน จึงมักพบว่าขนพันกันและหยาบกร้าน ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง ในลูกแมวบางตัวอาจจะตายทันที เชื้อไวรัสจะถูกขับออกมากับ น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ หรือเศษอาหารที่อาเจียนออกมา รวมถึงอาจจะติดกันได้ทางเห็บหมัด ความรุนแรงของโรคเกิดจากการที่เชื้อเข้าไปทำลายต่อมน้ำเหลือง ม้าม และไขกระดูก มีผลในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดขาว ฉะนั้นภูมิต้านทานของแมวจึงลดลง อาการแทรกซ้อนต่างๆที่เนื่องมาจากเชื้อแบคทีเรียจะเข้ามารุกราน จนทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้น
หากแมวที่กำลังตั้งท้องเป็นโรคนี้ เชื้อไวรัสสามารถผ่านเข้าไปทางรกเข้าสู่ร่างกายลูกแมว จนทำให้เกิดการพิการแต่กำเนิด เช่น ตาบอด กล้ามเนื้อลีบ อ่อนแอ เป็นต้น
ส่วนใหญ่กว่าเจ้าของจะรู้ตัวและพาแมวมาพบสัตวแพทย์มัก แมวมักจะมีอาการอยู่ในระยะท้ายๆแล้ว สัตวแพทย์จึงมักทำการรักษาด้วยการให้สารอาหาร หรือน้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำเพื่อทดแทนการขาดน้ำ และให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน แต่ก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จนัก
ทางที่ดีที่สุดคือ ควรนำลูกแมวอายุตั้งแต่ 7 - 9 สัปดาห์ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ จากนั้นจึงฉีดกระตุ้นอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 12 - 15 สัปดาห์ ถัดมาก็เป็นการฉีดวัคซีนทุกปี ปีละครั้ง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โรคไข้หัดแมวนี้เป็นโรคที่มีอันตรายมากนะคะ Catmaster ก็เคยเสียน้ำตากับแมวที่บ้านที่ต้องตายเพราะโรคนี้มาแล้ว ดังนั้นเจ้าของแมวทุกท่านไม่ควรประมาทนะคะ

ไข้หวัดแมว (Cat Flu)
เกิดจากเชื้อไวรัส 3 ชนิดที่สามารถทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจส่วนต้นและโพรงจมูก และริคเก็ทเซียอีกหนึ่งชนิด ไวรัสสองในสามชนิดจัดเป็นสาเหตุสำคัญของหวัดแมว คือ FVRV และ FCV
ในบางครั้งท่านอาจจะพบว่าแมวขอท่าน หรืออาจจะรวมไปถึงลูกของมันด้วยมีอาการไอ จาม ขี้มูกเขียวไหลย้อยหรืออุดตันเต็มจมูก หน้าตาทรุดโทรม ขนสกปรก เบื่ออาหาร มีไข้ ตาแดง มีขี้ตามาก ทำให้ตาปิด เสียงร้องแหบแห้ง อาจจะเริ่มเป็นจากตัวใดตัวหนึ่งแล้วแพร่ไปสู่ตัวอื่นๆ ซึ่งหากทิ้งไว้เชื่อได้ว่าจะต้องเป็นกันครบทุกตัว สุดท้ายแมวที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีจะต้องจบชีวิตลง
ไข้หวัดแมวเป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินหายใจ โดยแมวจะได้รับเชื้อไวรัสที่ปะปนอยู่ในอากาศ หรือจากการติดต่อจากแมวตัวอื่น สามารถพบได้ในหลายโอกาสที่มีแมวมาอยู่รวมกันมากๆ ซึ่งแมวที่หายป่วยแล้วจะยังคงเป็นพาหะต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
การรักษาโรคนี้คือ ท่านจะต้องพาแมวไปพบสัตวแพทย์ก่อน และหากวินิจฉัยออกมาแล้วว่าเป็นโรคนี้จริง การรักษาคือใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคแทรกจากเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงยาลดการอักเสบและเสมหะของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งหากสภาพร่างกายของแมวขาดน้ำ ขาดอาหาร อาจจะได้รับการทดแทนด้วยอาหารเหลว เช่นให้น้ำเกลือหรือวิตามินฉีดเข้าเส้น ข้อสำคัญท่านเจ้าของจะต้องให้ความร่วมมือดูแลแมวของท่านอย่างเต็มที่ ทั้งป้อนยา ป้อนอาหาร เช็ดขี้มูก ขี้ตาอย่าให้เกรอะกรัง และปฏิบัติตามคำสั่งของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด
วิธีป้องกันโรคไข้หวัดแมวทำได้ดังนี้ คือ พาแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันเมื่ออายุได้ 9 สัปดาห์ขึ้นไป และหลีกเลี่ยงการนำแมวที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไปสมาคมกับแมวหมู่มาก หรือหาจำเป็นจะต้องนำแมวไปฝากที่ใด ก็ต้องแน่ใจว่า แมวของท่านมีภูมิคุ้มกันดีแล้ว

ลูคีเมียแมว (Feline Leukemia)
ลูคีเมียหรือโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวในแมว เกิดจากเชื้อไวรัส คือเชื้อ Feline Luukemia Virus (FLV) ทำให้เกิดมะเร็งที่เม็ดโลหิตขาวและเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆ เช่นต่อมน้ำเหลือง โดยเชื้อไวรัสนี้จะไปทำให้ภูมิคุ้มกันของแมวลดลง จึงทำให้เกิดการติดโรคจากเชื้อแบคทีเรีย เช่นโรคปากอักเสบเรื้อรัง ฝี แผลเรื้อรัง โดยเชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย น้ำปัสสาวะ หรืออุจจาระของแมวตัวที่ป่วยไปสู่แมวปกติ หรืออาจติดต่อผ่านน้ำนมแม่หรือผ่านทางรกไปสู่ลูกแมว ซึ่งอาจทำให้เกิดการแท้งลูกได้ หรืออาจติดกันได้ทางแมลง เช่น หมัด เหา ไร ยุง
ลักษณะของอาการของโรคนี้แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ อาการที่ช่องอก ช่องท้อง และต่อมน้ำเหลืองต่างๆ
ช่องอก : แมวป่วยจะแสดงอาการหายใจติดขัด ไอและสำลัก เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองในช่องอกบวมโตขยายใหญ่ไปเบียดและบีบหลอดลม หลอดอาหาร และมีของเหลวคั่งอยู่ในช่องอกนั่นเอง
ช่องท้อง : อาการป่วยของแมวคือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาเจียน ท้องร่วงหรือท้องผูก โลหิตจาง มีเซลล์มะเร็งกระจายอยู่ตามอวัยวะภายใน เช่นต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ม้าม ตับ
ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ : ต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนังโดยทั่วไป เช่นรักแร้ ขาหนีบ โคนขา จะขยายตัวใหญ่เป็นก้อนแข็ง รวมถึงที่พบตามอวัยวะอื่นๆภายใน เช่น ตา หรือสมอง อาจแสดงอาการไข้หรือไม่ก็ได้
การวินิจฉัยโรคนี้จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์ทันทีที่แมวมีอาการผิดปกติ ซึ่งสัตวแพทย์จะทำการตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นตรวจเลือด ถ่ายเอกซเรย์ ใช้เครื่องอัลตราซาวน์ดตรวจในช่องท้อง ช่องอก เจาะเอาไขกระดูกไปตรวจ หรือนำน้ำในช่องอกหรือช่องท้องไปตรวจ ปัจจุบันมีการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคนี้โดยตรงแล้ว ซึ่งควรจะตรวจเลือดในกรณีดังต่อไปนี้
- ก่อนจะนำแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้าน
- ก่อนนำแมวไปผสมพันธุ์กับแมวอื่น
- ถ้าแมวที่เลี้ยงไว้แสดงอาการที่น่าสงสัย
- ถ้าแมวป่วยเรื้อรังน่ารำคาญ เช่นเป็นแผลในปากหรือโลหิตจาง
หากตรวจพบว่าแมวเป็นโรคนี้ จำเป็นจะต้องตรวจแมวตัวอื่นในบ้านด้วย หากไม่พบเชื้อก็ควรตรวจอีกครั้งในอีก 3 เดือนให้หลัง เพราะเชื้ออาจจะอยู่ในระยะฟักตัว
แมวที่เป็นโรคนี้ควรจะแยกจากแมวตัวอื่น แม้หนทางในการรักษายังไม่เป็นผลสำเร็จนัก แต่ควรปรึกษาสัตวแพทย์ดูก่อน แมวที่เป็นโรคนี้มักจะอายุไม่ยืน มักจะตายหลังจากนั้นประมาณปีกว่าเท่านั้น
การป้องกันโรคนี้อย่างได้ผลที่สุดคือ การพาแมวของท่านไปฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่แมวอายุได้ 9 สัปดาห์ และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุได้ 12 และ 24 สัปดาห์ และฉีดเป็นประจำทุกปี

โรคช่องท้องอักเสบติดต่อ (Feline Infectious Peritonitis หรือ FIP)
แม้จะพบโรคนี้ไม่บ่อยนัก แต่ก็พบว่าแมวที่เป็นโรคนี้มักจะตายเสมอ โรคนี้มักเกิดกับแมวในช่วงอายุ 1 - 3 ปี ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อาการหลักคือ ช่องท้องจะขยายใหญ่พองโตขึ้นเรื่อยๆ ดูคล้ายกับลูกโป่งใส่น้ำ ในขณะที่ส่วนอื่นเช่นขา หรือช่วงอกกลับดูผอมลง ทั้งนี้เนื่องจากเซลล์บุผนังช่องท้องเกิดการอักเสบ ภายในช่องท้องจึงมีของเหลวจำนวนมาก จนไปดันกระบังลมทำให้แมวหายใจลำบาก ดังนั้นเมื่อเห็นแมวที่ท้องโตผิดปกติให้รีบพาไปปรึกษาสัตวแพทย์ทันที การป้องกันโรคนี้ด้วยวัคซีนมีในต่างประเทศแล้ว

โรคเอดส์แมว (Feline Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือ FAIDS)
โรคเอดส์แมวนี้เกิดจากไวรัสที่คล้ายกับ HIV ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ในคน แต่เอดส์แมวนั้นจะไม่แพร่สู่คน ดังนั้นเราจึงสามารถอยู่กับแมวได้อย่างสนิทใจค่ะ
ไวรัสโรคเอดส์แมว ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1986 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยแมวที่ป่วยจะมีลักษณะเหมือนโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดในคน ซึ่งจะเกิดกับแมวที่ชอบออกไปท่องเที่ยวนอกบ้านสูง โดยเฉพาะแมวเพศผู้จะมีโอกาสเกิดเป็น 3 เท่าของแมวเพศเมีย ช่วงอายุที่ปรากฏมากคือ 5 - 6 ปี เนื่องจากเชื้อโรคถูกถ่ายทอกทางบาดแผลตอนที่กัดกัน หรืออาจติดจากการกินอาหารร่วมชามเดียวกัน
แมวที่ได้รับเชื้อจะแสดงอาการหลังรับเชื้อเข้าไป 4 - 6 สัปดาห์ โดยระยะที่หนึ่ง จะมีอาการเป็นไข้ประมาณ 3 อาทิตย์ ระยะนี้ถือเป็นระยะเฉียบพลัน สามารถพบเชื้อในกระแสเลือดได้
ระยะที่สอง แมวจะไม่แสดงอาการใดๆเป็นเดือนๆ จนถึงเป็นปี เท่ากับเป็นระยะพักของโรค แต่ยังสามารถตรวจพบเชื้อในกระแสเลือดได้
ระยะที่สาม ถือเป็นระยะเรื้อรังหรือระยะท้ายของโรค กินเวลา 2 - 3 อาทิตย์ จนถึง 2 - 3 เดือน แมวจะแสดงอาการออกมาอย่างเด่นชัด คือมีการติดเชื้อจากโรคอื่น เช่นโรคจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาจมีอาการท้องร่วง เป็นแผลในปาก เกิดเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ ตลอดจนอาการทางประสาท บาดแผลฝีหนองหายยาก ซึ่งระยะนี้การตรวจผลเชื้อ FIV จะไม่พบ
ปัจจุบันการรักษาโรคนี้ยังไม่สัมฤทธิ์ผลเช่นเดียวกับในคนที่ทำได้เพียงรักษาแบบพยุงอาการเท่านั้น แมวที่ป่วยด้วยโรคนี้มักจะตายใน 6 เดือน ถึง 3 ปี นับจากเข้าสู่ระยะที่สาม ดังนั้น แมวที่เป็นโรคนี้ควรขังไว้ไม่ให้แพร่เชื้อต่อไป

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มแรบโดไวริดี้ เช่นเดียวกับที่เกิดในสุนัข มีอันตรายถึงตายทั้งกับมนุษย์และสัตว์อื่น โดยการติดเชื้อจากทางน้ำลายผ่านเข้าสู่บาดแผลที่โดนกัด ลักษณะอาการคือ หลบซ่อนตัวจากเจ้าของและสังคม กลัวแสง ไม่ชอบการสัมผัส ตัวแข็งทื่อ กลัวการถูกน้ำ ต่อมาจะดุร้ายขึ้นผิดจากเดิม กัดสิ่งที่เข้ามาใกล้ตัว การกลืนกินหรือเลียน้ำทำได้ลำบาก ผลสุดท้ายคือเสียชีวิต การพิสูจน์เรื่องนี้ที่แน่นอนที่สุด คือ การตัดหัวสัตว์ที่ป่วยตายส่งให้หน่วยงานที่ชันสูตรโรคนี้ดดยเฉพาะ เช่น สถานเสาวภา การรักษายังไม่มีทั้งในสัตว์และคน ดังนั้นท่านควรนำแมวของท่านไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ตั้งแต่อายุได้ 3 เดือน และฉีดเป็นประจำทุกปี

 
 
::หน้าที่แล้ว กลับหน้าหลัก : Health :: หน้าถัดไป
 
     
       
   
   
Home | Breeds | TakeCare | About Cat | Gallery | Links
©2003 Contact Webmaster